Unbelievable หนังซีรี่ย์แนวสืบสวน และฆาตกรรมนั้น ดูๆ ไปก็อดนึกถึงซีรี่ย์ที่ดังก่อนหน้านั้นอย่าง Criminal Mind ไม่ได้ เพราะแต่ละคดี จะเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ ที่ไปในแนวโรคจิต และการทรมานเหยื่อ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ ก็ยังมีเนื้อหา และการหาข้อมูลทั้งหมด ที่ดูมีความหนักแน่น เพราะมีพื้นฐานจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทำให้เรายิ่งรู้สึกได้เลยว่า ที่ๆ ดูเหมือนปลอดภัยอย่าง บ้านของเราเอง สถานีตำรวจที่จะช่วยเรา หรือศาลนั้น ไปๆ มาๆ ก็ไม่แน่ใจแล้วว่า จะปลอดภัย และฝากความหวังได้จริงหรือไม่
เมื่อเหยื่อของเรื่องนี้ คือเด็กสาวที่ชื่อมาลี เธอกำพร้าพ่อแม่ และตลอดชีวิตที่ผ่านมา ก็วนเวียนกับการเปลี่ยนบ้านอุปถัมภ์ รวมถึงพ่อแม่อุปถัมภ์ ที่เปลี่ยนย้ายหลายที่ ซึ่งการเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ล้วนส่งผลไม่ดีต่อการมองเห็นตัวตนของเธอเองว่า เกิดปัญหาอะไรขึ้น กับการต้องย้ายเปลี่ยนที่อยู่อุปถัมภ์บ่อยๆ และวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ ที่ตัวเธอโดนข่มขืนในกลางดึกคืนหนึ่ง
ตีแผ่ระบบการดูแลเหยื่อถูกข่มขืน ที่ Unbelievable บอกได้ชัดเจน
เหตุการณ์การถูกข่มขืนใน Unbelievable เมื่อเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และมาลีก็มองไม่เห็นใคร นอกจากจูดิธ แม่อุปถัมภ์ของเธอในอดีต ทำให้เป็นคนเดียวที่พาตัวเธอมาแจ้งความกับตำรวจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ตำรวจสอบปากคำ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังเรียกเธอให้กลับมาให้ปากคำ เพื่อเป็นการตรวจสอบคำให้การของมาลี ว่าจริงเท็จแค่ไหน ซ้ำร้ายกว่านั้นยังให้มาลี เขียนรายงานเรื่องที่ให้ปากคำ กับทางตำรวจอีกรอบ
สิ่งเหล่านี้เสมือนเป็นการ ซ้ำเติม และกลายเป็นให้ตัวเธอ ต้องย้อนคิดเรื่องที่โดนข่มขืนซ้ำไปมา รวมถึงการเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม มาลีก็ต้องเล่าเรื่องราวคืนนั้นซ้ำอีก ถึงแม้ตำรวจจะสอบปากคำมาลีอย่างละเอียด ทั้งวิธีการทำกับเหยื่อ โดยการเอาเชือกผูกรองเท้ามัดมือเธอไว้ และถึงแม้ที่เกิดเหตุจะมีร่องรอย แต่ก็เล็กน้อยมากจนเอามาตรวจสอบไม่ได้เลย ทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่เหลืออยู่จริงๆ ให้สามารถเห็นได้ชัดว่า มาลีโดนข่มขืนคือ รอยมัดมือที่ข้อมือของเธอ ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานที่อ่อนเหลือเกิน
ในด้านตำรวจรอบแรก ที่ได้สอบปากคำมาลีไป เหมือนจะแทงเรื่องนี้ว่า สงสัยว่ามาลีจะแจ้งความเท็จ และสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเองทั้งสิ้น เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเลย อีกทั้งประวัติของเธอ ก็น่าสงสัย ทั้งจากการบอกของจูดิธ มาลีเป็นเด็กสาว ที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ และต้องการเป็นคนสำคัญ ทีมสอบสวนของปาร์เกอร์ จึงคิดว่าคดีนี้ มาลีน่าจะเป็นคนสร้างเรื่องทุกอย่างขึ้นมาเอง และอีกใจหนึ่งก็ต้องการปิดคดีนี้สักที
เรื่องผิดสังเกตุ เมื่อนักสืบสาวคู่หูค้นคดีมาสืบสวนใหม่
แต่กลับกันกับทางนักสืบ ที่ดูแลคดีของมาลี ในที่เกิดเหตุ Lynwood นั้น ในอีกฟากของนักสืบเกรท และคาเรน ที่ทำงานร่วมกัน ต่างมองเห็นว่า มีเรื่องน่าสงสัย เพราะดันมีคดีที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้นตามหลัง อีกทั้งยังมีความเหมือนในการข่มขืน ทำลายหลักฐานจนไม่เหลือเลย และสองสาวคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นคนในแวดวงตำรวจ หรือทหารนี่แหละ ที่น่าสงสัย
การถ่ายภาพเหตุการณ์ของหนังเรื่องนี้ เหมือนเป็นการเปรียบเทียบการทำงานของ ทีมปาร์กเกอร์ข่วงแรก กับนักสืบคาเรน และเกรทส่วนที่สองของหนังนั้น เราจะมองเห็นเลยว่า การทำงานของตำรวจเป็นยังไง ซึ่งทำให้คิดถึงเลยว่า ตำรวจทุกที่ก็มีดี และมีแบบไม่รับผิดชอบ ต้องการให้ปิดคดีเร็วๆ แต่ผลหลังจากนั้น ที่มาลีต้องรับผลต่อการตัดสิน ทั้งๆ ที่เธอโดนข่มขืนจริงๆ จะเป็นยังไงต่อไป
หนังเรื่องนี้ มีข้อดีหลายเรื่อง สำหรับใครที่คิดจะเลือกมาดู หรือดูไปรอบแรกแล้ว หลายคนต้องย้อนกลับไปดูซ้ำอีก เพราะนอกจากเราจะได้เห็นการทำงาน ของตำรวจแต่ละประเภทแล้วนั้น เราจะมองเห็นวิธีการไต่สวนในชั้นศาล ที่ละเอียดยิบใน Unbelievable เรื่องนี้ และมองเห็นสภาพของ เหยื่อ หรือมาลีได้อย่างชัดเจน ที่อยู่ในฐานะ ผู้ถูกกระทำ แต่ระบบความยุติธรรม ในความเป็นจริง ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอเลย แม้กระทั่งความรู้สึกก็ตาม
https://readysteadycut.com/2019/09/13/unbelievable-netflix-series-review-this-is-important/
https://ew.com/tv/2019/09/17/real-life-subject-behind-netflixs-unbelievable-calls-series-excellent/
https://www.mirror.co.uk/tv/tv-news/unbelievable-season-2-netflix-20090816
