As The Crow Flies ที่จริงแล้วหนังเปรียบเทียบเรื่องราว และความเป็นตัวตนของนางเอกที่ชื่อ อัสลึได้ดีทีเดียว เหมือนกับภาพอีกา ที่เหมือนเป็นนกที่บินได้สูง และช่างสังเกต ที่ไหนมีอาหาร รู้ก่อน และไปได้เร็ว มีความฉลาดในระดับหนึ่ง แต่ลืมไปว่าความฉลาดที่ตัวเองมี กลับนำผลเสียมาให้ตัวเองภายหลัง ด้วยความที่อยากไปให้สูงเกินสิ่งที่ตัวเองจะเป็นได้
เรื่องราวของอัสลึ ที่ต้องบอกก่อนว่าซีรี่ย์เรื่องนี้เป็นของประเทศตุรกี ดังนั้นชื่อตัวละคร อาจจะดูไม่น่าจะเรียกได้ง่ายเท่าไหร่ แต่หลักๆ มีตัวละครที่เราควรสนใจเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และหนังก็เริ่มเรื่องให้เราได้คิดประโยคหนึ่งว่า การที่เรายอมรับรู้ นั่นแหละที่เป็นความจริง อาจฟังดูง่าย แต่ต้องแปลว่า บางครั้งที่เราเห็น เข้าใจ แต่ยังฝืนเดินไปตามทางที่ตัวเองต้องการ นั่นก็แสดงว่า รู้แต่อาจไม่ใช่การรับรู้ก็ได้ คล้ายกับภาพเด็กที่บอก ฟัง เข้าใจ แต่ไม่ทำตาม
As The Crow Flies เปรียบเทียบนักล่ากับเหยื่อในตัวละครสองคน
ตัวละครหลัก ที่เหมือนเป็นหมากที่วางอยู่บนเรื่องราวนี้ มีเพียงแค่ อัสลึ นางเอกที่ใฝ่สูง กับพิธีกรชื่อดังอย่าง ลาเล ที่ถือว่าเป็นไอดอลในใจของนางเอก และภาพก็ตัดมาที่จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ กับผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายของซีรี่ย์ว่า ทั้งอัสลึ และลาเล มีการทำร้ายกันเป็นช่วงสั้นๆ และตัดมาที่เริ่มเรื่องว่า อัสลึได้มาเจอลาเลอย่างไม่ตั้งใจในห้องน้ำ และก็อย่างที่เรารู้ๆ กัน เมื่อเราได้เจอกับคนที่เราปลื้ม และชื่นชอบ เราก็มักจะดึงเอาเรื่องราวที่ติดตาม หรืออะไรที่ชอบในตัวคนนั้นมาพูดให้ฟัง แต่ผลที่ได้คือ ลาเล รู้สึกเมินเฉย และเดินออกไป พูดกลับไปเหมือนอัสลึไม่มีตัวตนว่า รับรู้แต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลาคุยกับเธอได้ แต่ท่าทางบอกความหมายอะไรหลายอย่างได้มากกว่าคำพูด
เหตุการณ์ตรงนั้นไม่ว่าจะเป็นอัสลึ หรือเราทุกคนก็ต้องรับรู้ได้ว่า เหมือนตกอยู่ในระดับล่างๆ ซี่งเหมือนกับที่หนังเปรียบเทียบให้ ลาเลเป็นราชสีห์ และอัสลึ ก็เหมือนกับเหยื่อ หรือคนที่คอยวิ่งตาม คลั่งไคล้คนดัง ตึ่งแม้จะเริ่มมีภาพลบเข้ามา แต่เธอก็หาวิธีที่จะเข้าไปวงการสื่อ หรือผู้ประกาศข่าว เพื่อให้ได้เข้าใกล้กับลาเล จน As The Crow Flies ให้เธอได้บินได้เฉียดใกล้กับลาเล ด้วยสถานีข่าวที่ลาเลทำงานอยู่ ประกาศคัดเลือกตัวนักศึกษาฝึกงาน หรือเด็กอินเทิร์น และตัวเธอก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้สมัครเท่านั้น แต่ยังมีความฉลาดที่จะเดินไปให้ลาเลเห็น และแกล้งเสนอตัวช่วยงานพิสูจน์อักษรในสคริปที่ลาเลต้องอ่านข่าว หลังจากนั้นเธอไปบอกให้กับทีมงานของลาเล ว่าพิธีกรคนนี้รับเธอเข้าฝึกงานแล้ว นี่คือความฉลาดในแบบอีกา ที่หนังต้องการเปรียบเทียบให้เราได้เห็นภาพ
ล้มไม่ได้ และอย่าได้มีโอกาสผิดพลาด ความกดดันที่ไม่มีใครรู้

อัสลึ และอีกหลายคนที่เป็นเพียงคนมองลาเล แค่ในรูปภายนอกคือ พิธีกรนั้น ไม่มีใครรู้ว่าในเนื้อใน หรือความรู้สึกที่ตัวเธอต้องเจอ กับจุดยืนที่บนยอดเขา ที่มีคนรู้จักกันทั่วประเทศ และภาพที่ออกมาคือ ผลงานในการอ่านข่าว และสัมภาษณ์บุคคลสำคัญๆ ที่ไม่มีข้อผิดพลาดให้เห็นเลย ซีนหนึ่งที่เรามองเห็นก็คือ หลังเลิกงานที่ลาเลกลับมาตอนค่ำ และเดินมาถามสามีตัวเองที่บ้านว่า ตัวเขาเห็นเธออ่านข่าวผิดหรือไม่ และกังวลว่าแม้แต่สามียังมองออก และแบบนี้คนทั้งประเทศจะมองไม่เห็นหรือ เรารู้ได้ทันทีว่า จุดที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนอย่างภาพภายนอกที่ดูสวยงามที่เธอแสดงออกมา
เหตุการณ์ที่เหมือนเป็นการพิสูจน์ ความสามารถของตัวลาเล ในการมาเป็นพิธีกรชื่อดัง และมีคนชื่นชมว่า ในแต่ละวันที่เธอจะถนอม และดูแลชื่อเสียงของเธอได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่ กับการนัดสัมภาษณ์ออกอากาศสด ชายคนทำงานเก็บขยะในโรงงานแห่งหนึ่ง และโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมย ถึงขนาดเอาตำรวจมาจับ เพียงแค่เขาหยิบเอาเศษเหล็กที่โรงงานไม่ใช้แล้ว โดยที่ตัวเขามีความเก็บกดว่า ทำงานมาที่นี่ 28 ปี แต่กลับโดนเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
บทสัมภาษณ์ของลาเล ในบางคำพูดเลยไปสะกิดใจชายคนนี้ ให้รู้สึกว่ากล่าวหาว่าเป็นคนผิด และหยิบปืนเล็งมาที่เธอ และเหตุการณ์ตรงนั้น ไม่ว่าจะมีตำรวจ หรือบอดี้การ์ดมาเต็มห้องส่ง หรือยืนล้อมก็ตาม ไม่มีใครจะแก้ไขสถานการณ์ได้นอกจาก ตัวเธอที่ยืนใกล้กับชายคนนี้ห่างเพียงแค่ 2 ก้าวเท่านั้น และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนได้รู้ว่า จริงๆ เธอมีความสามารถ และสมกับจุดยืนในการเป็นพิธีกรชื่อดังนี้อยู่
ทุกอย่างไม่ได้มาง่ายๆ แต่มีเหตุและผลของสิ่งที่ได้มา ไม่มีคำว่าบังเอิญ หรือโชคช่วย แต่เป็นเพราะผลจากสิ่งที่เราทำมาหมด รวมถึงอัสลึอาจจะต้องได้รับการสอนในเรื่องนี้ As The Crow Flies ต้องการสื่อที่ว่า การหาทางลัดในการไปถึงจุดเป้าหมายนั้น บางเส้นทางที่ดูเหมือนโกงจนเกินไป ก็อาจจะทำให้นอกจากเราจะไปไม่ถึงแล้ว ยังทำให้ต้องเดินย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกด้วย