Dahmer ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีจำนวนตอนมากถึง 10 ตอน และเป็นเรื่องราวที่นำมาจากเรื่องจริง ของฆาตกรที่ได้ถูกจับกุมตัวแล้ว หนังที่สื่อออกมาก็ไม่ได้ทำเป็นแนวสารคดี หรือ documentary เพราะจะยิ่งทำให้หนังดูเครียด และบีบความรู้สึกของคนดูมากขึ้น จนอาจทำให้กลายเป็นตัวโคลนนิ่งของ Mindhunter ก็เป็นได้
หนังซีรี่ย์เรื่องนี้เลยไม่ได้เป็นหนังฆาตกรต่อเนื่อง ที่เน้นการสร้างเรตติ้ง หรือการเดินล่า ฆ่า และต้องให้เห็นเลือดสยดหยองอย่างพร่ำเพรื่อ เพื่อขายคนดูแนวทริลเลอร์เท่านั้น แต่การวางพล็อตหนัง และแม้กระทั่งเนื้อหาในแต่ละซีน ที่ต้องการสื่อให้ถึงคนดู เลยเป็นแบบมีเหตุและผล ค่อยเป็นค่อยไป เหมือนให้คนดูค่อยๆ เดินตามความคิด และอารมณ์ของตัวเจฟฟี่ และเข้าใจในความสับสนในใจของเขาด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูทั้งแนวสยอง จิตวิทยา และการวิเคราะห์ในแบบทีละคำพูด การกระทำของฆาตกร โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคนมานั่งแยกแยะ หรือวิเคราะห์ให้เราก่อนเหมือนอย่าง Mindhunter
Dahmer ย้อนกลับไปถึงปมความขัดแย้ง ที่นำมาสู่ความผิดปกติทางจิตใจ
ตัวของเจฟฟี่ ดาห์เมอร์นั้น ใครที่คิดว่าคนเราจะมีความเป็นฆาตกร หรือเป็นโจรตั้งแต่ตอนเด็ก อาจจะไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะถึงแม้เราจะบอกว่า เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถ ในการโกหก หรือทำในสิ่งไม่ถูกต้องบางอย่าง แต่สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องไม่ร้ายแรง หรือเป็นเรื่องที่เราสามารถบอกกล่าว ตักเตือนได้ แต่ในกรณีของเจฟฟี่นั้น Dahmer จะเริ่มต้นนับหนึ่งให้เราได้เห็นว่า การเริ่มสะสมความกดดัน และความไม่เข้าใจทั้งตัวเจฟฟี่ ที่ไม่เข้าใจเพื่อน ครู และพ่อแม่ นั่นหมายถึงคนรอบข้างตัวเขา ที่ถือว่าเป็นคนสำคัญที่สุด ในวัยเด็กที่ควรจะมีความใกล้ชิด และมีความสัมพันธ์ที่ดี และสิ่งคนอื่นก็ไม่เข้าใจตัวเขา
ทั้งที่โรงเรียนเพื่อนๆ ต่างบอกเจฟฟี่เป็นตัวประหลาด ครูก็มองว่าความคิด การทำบางอย่างของเจฟฟี่มีความไม่เหมือนเด็กคนอื่น แต่ก็ได้แต่บอกเพื่อนว่า ให้เข้าใจแต่ไม่ได้เข้าหาเจฟฟี่เท่าที่ควร ดังนั้นในช่วงที่เจฟฟี่เป็นเด็ก ที่อยากรู้อยากเห็น อยากที่จะมีคนที่สนิทด้วยอย่างกลุ่มเพื่อน ครู หรือแม้แต่พ่อแม่ ก็ยังไม่มี มีเพียงพ่อของเขาที่อยู่กับเขาเพียงช่วงจังหวะเดียว ที่สอนให้เจฟฟี่นำเอาศพของสัตว์ ที่ตายกลางถนน หรือโดนรถชนตาย มาผ่าดูอวัยวะด้านใน และเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งนี้ ค่อยๆ ต่อยอดสะสมรวมกับ ความบีบคั้นทางสังคมรอบตัว และความกดดัน ที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออยู่ข้างๆ ตัวเขาเลย ทำให้เป็นเจฟฟี่ในวันนี้
ความเข้มแข็งภายในจิตใจ แต่ต้องไม่ใช่ใช้ความแข็งแรงทำร้ายผู้อื่น
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยคือ การที่เจฟฟี่ลืมคิดไปว่า คนเราหากไม่มีใครเข้าใจเราแล้ว ตัวเขาเองคือคนที่สำคัญที่สุด ที่ควรให้อภัยตัวเอง และสงสารตัวเองให้มาก แทนที่จะหาความรักจากคนอื่นในวันที่ พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกัน และต้องไปเกณฑ์เป็นทหาร อยู่ในเมืองที่ตัวเองไม่คุ้นเคยตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นการกลับมาของเจฟฟี่ ที่ตัวเขาขอพ่อกลับมาในเมืองเกิดอีกครั้ง และต้องมาอยู่กับย่าทำให้เจฟฟี่เข้ามาสู่วังวน ความสับสนทางจิตมากขึ้น และก่อเป็นคดีฆาตกรรม ที่คิดว่าตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ผลแห่งการทำในสิ่งที่ลืมตัว จะมาได้ไกลขนาดนี้
ดังนั้นในหนังเรื่องนี้ ที่มาจากฆาตกรต่อเนื่องอย่างเจฟฟี่ ที่นอกจากจะฆ่าคนผิวดำหลายคน และเก็บอวัยวะต่างๆ ทั้งแช่แข็ง กิน และเก็บสะสมไว้ ถือว่าเป็นการระบายออก ในความเก็บกดตัวของเจฟฟี่ ในทางที่ไม่ถูกต้องเลย การอยู่เหนือคนอื่น โดยมีอาวุธข่มขู่ เพื่อให้คนอื่นกลัว และไม่มีทางสู้ นั่นอาจเป็นทางออกที่ตัวเจฟฟี่ คิดว่าเป็นการปลดปล่อยจุดมืดของตัวเอง
หลายคนที่ได้ดูไม่ว่าจะเป็นหนัง ที่เขียนสร้างเนื้อหา พล็อตเรื่องขึ้นมาเอง หรือหนังที่สร้างมาจากเรื่องราวของฆาตกรจริงๆ อย่างเรื่องนี้ อาจจะต้องยอมรับว่า Dahmer นั้นเป็นอีกเรื่องที่ หากเรารู้ความเป็นมา และต้นเหตุของชีวิตคนๆ หนึ่งจริงๆ หรืออย่างในเรื่อง Hannibal เราต้องยอมรับ และเข้าใจเลยว่า ในบางคนที่มีผลลัพธ์ออกมา ในการเลือกทางออกที่ผิดพลาดไปนี้ อาจเป็นเพราะ ตัวเขารีบหาทางออกเร็วเกินไป และเกิดการตัดสินใจพลาด หรือ อ่อนแอเกินไปที่ก้าวไปในทางที่ ตัวเองไม่คุ้นชิน และใจไม่เข็มแข็งพอที่จะหักห้ามใจตัวเอง ปฏิเสธความคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น ถือว่าเป็นหนังที่ช่วยวิเคราะห์ ให้เราได้เข้าใจความเป็นมนุษย์ได้ดี ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะเคยทำความผิดมากมายแค่ไหนก็ตาม